สิรินธร-โขงเจียม มนต์เสน่ห์ดินแดนตะวันออกสุดในสยาม ทริป 2 คน กับ 3 ตัว 👫



ปีใหม่ปีนี้ตอนแรกคิดว่าจะไม่ไปเที่ยวที่ไหน แต่คุณแฟนบอกว่าไปเถอะอยากพักผ่อน จึงกะมาหนาวกันที่ภาคอีสาน เลยเลือกมา จ.อุบลราชธานี เพราะเคยมีความตั้งใจว่าอยากมาเห็นผาแต้มสักครั้ง ก็เลยจัดเตรียมเสื้อผ้าและจองที่พักแบบด่วนๆ เพราะเรามีลูกสาว 3 ตัวที่ต้องพามาด้วย จึงต้องเสาะแสวงหาที่พักที่อนุญาตให้เด็กๆเข้าพักได้ 


เราก็วางแผนทริปเลย จึงสรุปว่าไปกันวันที่ 28-31 ธ.ค. 2560 เพราะไม่อยากเดินทางช่วงคนเดินทางพร้อมๆกัน  ไปก่อน-กลับก่อน ไม่รีรอ 


วันแรกจึงกะว่าจะมาพักกันที่อ.สิรินธร พี่ goo บอกว่าเดินทางจากชลบุรีมาที่นี่ ประมาน 8 ชม.นิดๆ ที่ไหนได้ พอมาจริง รถติดเป็นช่วงๆ  จึงทำให้เราเดินทางมาที่พักเป็นเวลา 12 ชม. ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น นี่ขนาดออกเดินทางก่อน เซ็ง!!! ทำให้พลาดความตั้งใจแรกที่จะไปดูวัดภูพร้าวยามค่ำคืนพังไป พังอันที่สองคือ เห้ย !! อากาศเย็นหายไปไหน ที่นี่ไม่หนาว ไม่มีแม้กระทั่งลมหนาว อุตส่าห์จัดเสื้อผ้ามาเผื่อหนาว เซ็งx2 เราจึงได้ไปเที่ยวในอ.สิรินธร กันตอนเช้าแทน


รีสอร์ทที่เราไปพักมีชื่อว่า ภูทองรีสอร์ต รีสอร์ทนี้น้องหมาพันธุ์เล็กพักได้จ้า เสียค่าตัว ตัวละ 100 บาท ^^  รีสอร์ทอยู่ตรงพัทยาน้อยเลย สามารถทานอาหาร เล่นน้ำจากเขื่อนสิรินธร มีเครื่องเล่นในน้ำด้วย เพียบพร้อมสุดๆ ทางรีสอร์ทมีร้านอาหารริมเขื่อนสามารถสั่งอาหารมาทานในรีสอร์ทได้ และยังมีส่วนลดด้วยนะเออ 😉😉 อาหารอร่อย ✔✔ เพราะเราลองกันแล้วววว



รีสอร์ทนี้ Dog welcome 
 
ที่พักเป็นบ้านดิน
รอบๆมีสนามหญ้าให้ลูกๆวิ่งเล่นได้
ราคาห้องพักแต่ละแบบ

ที่แรกที่เราไปตอนเช้า หลังจากเมื่อวานมาถึงซะมืดค่ำ ก็คือ เขื่อนสิรินธร นั่นเอง
เขื่อนสิรินธร เป็นเขื่อนที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ กินอาณาเขตพื้นที่กว้างมาก ก.ไก่ ล้านตัว

พวกเรามากันที่จุดชมวิวบนสันเขื่อน มาตอนเช้าๆแบบนี้ไม่มีคนดี เดินสบาย ถ่ายรูปสะดวก 555
มีพวกเรา และอีก1ครอบครัวยามเช้า


สันเขื่อนย๊าวยาว ท้องฟ้าสีสวยสดใส พร้อมแสงแดดอันเจิดจ้าแผดเผา

แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อที่ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือ วัดภูพร้าว
เป็นสถานที่ที่เราตั้งใจจะมากัน กะว่ามาถึงที่อ.สิรินธร เย็นๆแล้วจะขึ้นไปบนวัดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก และดูความสวยงามของวัดยามค่ำคืน แต่ดันมาถึงมืด และไม่มั่นใจว่าถนนทางขึ้นวัดจะดีรึเปล่า เพราะเคยดูรีวิวมาว่าถนนยังเป็นลูกรังครึ่ง ซีเมนต์ครึ่ง เลยอดไปดูความสวยงามของวัดเรืองแสงเลย


ถ้าได้ไปดูตอนกลางคืนนะ ก็จะเห็นความสวยงามแบบนี้เลยละ
ภาพจาก https://www.aumlucktour.net


แต่ตอนเช้าที่เราไปกันนั้น ถนนทางขึ้นวัดดีแล้วนะจ้ะ เป็นซีเมนต์หมดแล้ว ทางขึ้นปลอดภัยหายห่วง

ขนาดตอนกลางวัน วัดยังสวยงามมาก มาก มากที่สุด บรรยากาศโคตรดี มองไปเห็นวิวฝั่งลาว เห็นแม่น้ำโขงไหลคดเคี้ยว และเห็นภูเขาสลับซับซ้อนมีหมอกบางๆเหมือนภาพวาด บอกเลยถ้ามาอ.สิรินธร ไม่มาวัดนี้ถือว่าพลาด 

ทางอีสานจะเห็นศิลปะรูปปั้นพญานาคเยอะมากๆและสวยงามเกือบทุกวัด

ผนังวิหารด้านหลังคือต้นกัลปพฤกษ์ ตอนกลางคืนต้นไม้นี้จะเรืองแสงเรืองรองออกมา ทำมาจากโมเสกชิ้นเล็กๆผสมสารเรืองแสง กลางคืนจะเห็นวัดสวยคนละแบบกับตอนกลางวัน ถ้าโชคดีอาจได้เจอทางช้างเผือกด้วยนะ โอกาสหน้าจะต้องมาดูวัดภูพร้าวยามค่ำคืนให้ได้
อีกสักรูป ด้านหลังวิหาร ที่ย้ำว่าต้องมาดู
ทิวเขาสลับซับซ้อน กับลำน้ำโขงสีฟ้า




ลูกสาวของเราอยู่ในรถเข็น ท่านใดที่มีลูกๆไปด้วย อย่าปล่อยให้เดินกันเองในวัดนะค่ะ เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากปล่อยให้น้องหมามาวิ่งเล่นจะไม่เหมาะสมได้

หลังเที่ยวในอ.สิรินธรไป 2 ที่ เราก็มุ่งหน้าเดินทางไปอ.โขงเจียมกัน ซึ่งระยะทางไม่ไกลกันเลย เราใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโขงเจียมแล้ว แต่ยังเข้าเช็คอินที่พักไม่ได้ ก็เลยเที่ยวกันต่อก่อนดีกว่า

ที่แรกที่เราเดินทางมาเที่ยวในโขงเจียมคือ อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ



อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
มี 2 ฝั่ง คือ ฝั่งอ.สิรินธร และฝั่งอ.โขงเจียม
ฤดูที่เหมาะสมแก่การมาเที่ยวคือช่วงฤดูแล้ง น้ำในแม่น้ำมูลจะลดลง จนเห็นแก่งหินในแม่น้ำเด่นขึ้นมา แต่ถ้ามาช่วงน้ำหลาก เราจะไม่ได้เห็นแก่งหินเหล่านี้เลยเพราะจะจมอยู่ในแม่น้ำ

จะมาเที่ยวที่นี่ต้องมาให้ถูกฤดูนะจ้ะ ไม่เช่นนั้นเสียเที่ยว

โดยส่วนตัวคิดว่า แก่งฝั่งอ.โขงเจียมสวยกว่า เห็นชั้นหินชัดเจน ถ่ายรูปสวยกว่ามากๆ


อีกมุม จะเห็นว่าเห็นแก่งชั้นหินเป็นชั้นๆซ้อนทับกันสวยงาม เสียงน้ำกระทบกับหิน เกิดเสียงไพเราะเสนาะหูอีกด้วย มองไปไกลๆก็จะเห็นฉากหลังเป็นสะพานแขวน ซึ่งก็คืออีก 1 จุดแลนด์มารค์ที่เราต้องไป


ถึงแล้วจ้า สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในอีสาน แล้วก็อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ แต่ว่าจะต้องเดินทางไปอีกฟากหนึ่งจากที่เราอยู่กัน ซึ่งจะต้องเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 20 บาท และค่ารถยนต์อีก 30 บาท

แม่น้ำมูลแห้งลงไปเยอะมากๆ ดูจากขอบดินแล้ว เวลาน้ำหลากก็สูงใช่เล่น
จากสะพานมองไปเห็นแก่งที่พวกเราพึ่งไปถ่ายรูปมา

ลมแรงมากกกก พัดมาที สะพานก็โยกๆ น่ากลัวเหมือนกันนะนี่ เลยไม่กล้าเดินไปสุดสะพาน แค่อยู่เกือบๆกลางสะพานก็เขว้งขว้างแล้ว


หามุมถ่ายรูปกันไปสักพัก เราก็ออกเดินทางมาที่ วัดถ้ำเหว์สินธุ์ชัย 

วัดถ้ำเหวสินธุ์ชัย สร้างขึ้นโดยหลวงปู่คำหล้า ปคุโณ ภายในวัดจะมีทางเดินไปยังถ้ำเล็ก ๆ หรือที่เรียกกันว่า ถ้ำเหวสินธุ์ชัย ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ รูปหล่อพระฤๅษี พระแม่ธรณี และพระพุทธรูปอีกหลายองค์ และที่บริเวณของเพิงถ้ำ มีน้ำตกจากลำธารเล็กไหลผ่านลงมาเป็นน้ำตก วัดถ้ำเหวสินธุ์ชัย เมื่อก่อนเป็นป่าเขา หลังจากหลวงปู่คำหล้าได้เข้ามาจำพรรษาแลัว ท่านได้ร่วมกับชาวบ้านดำเนินการพัฒนาวัดและสร้างเป็นที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพุทธศาสนิกชน

วัดถ้ำเหว์สินธุ์ชัย เงียบสงบ ล้อมรอบด้วยต้นไม้
วันที่เราไป ไม่มีคนเลย มีแค่เรา 2 คนเท่านั้น ดีที่ดูรีวิวทางลงถ้ำมา ไม่เช่นนั้นคงถอดใจเดินกลับ เพราะไม่รู้ว่ามาถูกทางไหม เพราะทางเดินออกจะลึกลับหน่อยๆ 

ถ้าไม่ได้เคยดูรีวิวมาก่อน ก็คงจะไม่รู้ว่าทางเดินตรงนี้คือทางไปถ้ำ ที่ใช้เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรม ทางเดินค่อนข้างเป็นป่า เป็นหิน ซอกภูเขา แบบธรรมชาติสุดๆ แต่บรรยากาศดีมาก เงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมจริงๆ... อันนี้เป็นคลิปทางเดินลงไปที่ถ้ำ เผื่อใครไปจะได้รู้ว่าเรามาถูกทาง ไม่ได้หลงทาง อิอิ

ทางเดินลงไปที่ถ้ำ
ปล.ภาพอาจจะสั่น ไม่นิ่ง เพราะทางเดินไม่เอื้อให้จับภาพได้นิ่งๆจริงๆ
มาถึงจะเจอกับรูปปั้นฤาษี 108 ตน

ตรงนี้อยู่ใต้ถ้ำ อากาศเย็นสบายไม่ร้อนเลย จะมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะ บนถ้ำจะมีน้ำตกไหลผ่านลงมา และข้างล่างเป็นลำธารเล็กๆ ที่มีต้นไม้รอบๆ เราไปช่วงหน้าแล้ง น้ำตกจึงไหลน้อย แต่ถ้าไปช่วงหน้าฝน น้ำตกจะไหลแรงสวยมากๆ และมีต้นมอสขึ้นเขียวชอุ่มเต็มบริเวณ (โปรดดูในคลิปวีดีโอประกอบ จะได้นึกภาพถูก 555)




บริเวณนี้ช่วงหน้าฝนจะมีน้ำไหลผ่านลงมาจากหินด้วย จริงๆตรงนี้คือซอกภูเขา เราไปน้ำแห้งสนิทเลย 


แต่เอะ!! น้องหมาเราไปไหน ลูกสาวรออยู่ในรถจ้า จอดใต้ต้นไม้ ร่มและลมเย็นมากกกก เปิดหน้าต่างแง้มไว้ ไปถึงรถกำลังหลับกันสบายอยู่เลย ป.ล. ถ้าคิดจะเอาน้องหมาไว้บนรถ จะต้องหาที่จอดรถในร่ม ห้ามจอดกลางแดด เปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเท แล้วต้องมั่นใจว่าบริเวณที่จอดอากาศไม่ร้อนอบอ้าวเด็ดขาด

สถานที่ต่อไปอยู่ไม่ไกลกันมากนัก วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี

วัดถ้ำคูหาสวรรค์ สร้างโดย "หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี" ซึ่งใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษา ปัจจุบันท่านได้มรณภาพแล้ว แต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยบรรดาลูกศิษย์ได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อบูชา บริเวณที่ตั้งของวัดตั้งอยู่บนที่ราบสูง ริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลที่ไหลรวมกัน


เจดีย์เก็บพระบรมสารีริกธาตุ

ภายในวัดเดินลงไปจะเป็นถ้ำ อากาศข้างในจึงเย็น ไม่ร้อนเลย
ในถ้ำจะมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะ
สักการะธาตุขันธ์ของหลวงปู่ ในโลงแก้ว
โบสถ์สีขาวสวยสะดุดตา


ที่สุดท้ายที่เราไปกันวันนี้ จุดชมวิวแม่น้ำสองสี

จุดชมวิวจะอยู่ในวัดโขงเจียม ซึ่งเป็นบริเวณช่วงที่มีการบรรจบกันของแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูล
โขงสีปูน มูลสีคราม

ลูกสาวลงมากับพวกเราแต่อยู่ในรถเข็น เพราะเรากลัวจะเจอหมาเจ้าถิ่นกัด
สังเกตุเห็นไหมเอ่ย ว่าน้ำจะมีสองสีผสมกันอยู่
ตอนที่เราไปไม่ใช่ช่วงที่เห็นน้ำแบ่งสองสีชัดเจน แต่ก็ยังสามารถสังเกตด้วยตาเปล่าในระยะไม่ไกลได้อยู่
มีเรือนำเที่ยวจอดกันริมน้ำ
โบสถ์ในวัดโขงเจียม สวยงามและเก่าแก่
สังเกตุได้จากผนังโบสถ์ ทำได้ออกมาวิจิตรงดงาม

กลับที่พักไปเช็คอินพักผ่อนกันดีกว่า อากาศร้อนมากมาย ที่พักในโขงเจียมที่ลูกสาวสามารถไปพักได้ มีชื่อว่า บ้านสวนริมน้ำรีสอร์ท รีสอร์ทติดแม่น้ำมูล ราคาคืนละ 1,000 บาท น้องหมาไม่คิดราคาเพิ่ม แต่ต้องระวังน้องหมาเจ้าของรีสอร์ท ลูกสาวพวกเราดีอย่าง พวกนางไม่ค่อยเห่า ยิ่งออกมาข้างนอกจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อเลย เวลาไปพักรีสอร์ทเลยไม่ค่อยมีปัญหา บรรยากาศที่พักจะเป็นสวนป่าๆหน่อย ธรรมชาติดี






ที่พักของเราเป็นหลังเล็กๆแบบนี้ ประตูหลังเปิดออกไปเป็นระเบียง มีวิวแม่น้ำมูลไหลผ่าน บรรยากาศดี

วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ตอนค่ำๆก็ออกไปหาซื้อของกินกันในตลาดโขงเจียม เป็นตลาดเล็กๆของขายมีไม่มาก แต่ใกล้ๆตลาดก็มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้ออยู่หลายร้าน

เช้านี้เราออกเดินทางไปกันที่ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยูทางตะวันออกสุดของประเทศไทย สามารถรับชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เป็นจุดแรกของประเทศไทย จุดที่น่าสนใจคือภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ผาแต้ม ผาหมอน ผาลาย และประติมากรรมธรรมชาติเสาเฉลียง

ลูกสาวไม่สามารถเข้าไปด้านในอุทยานได้ แล้วแอดอยากจะเดินไปดูภาพเขียนสี ซึ่งต้องใช้เวลาเดินดูอยู่ 1-2 ชม. แฟนเลยอาสาเป็นคนอยู่ดูแลลูกๆในรถ เราเลยตะลุยเดี่ยวเดินดูคนเดียวเลย ซึ่งวันนี้ร้อนมากกกกกก ร้อนกว่าทุกวัน 

มาคนเดียวก็เซลฟี่ไป
จุดชมวิวริมผาแต้ม หน้าผาสูงชันมากๆ


ระยะทางการเดินดูภาพเขียนสีมี 2 ระยะ คือ ระยะสั้น เดินถึงจุดเขียนสีกลุ่มที่ 2 และระยะยาว เดินถึงจุดเขียนสีกลุ่มที่ 4 ทางเดินเลียบริมหน้าผา ตั้งแต่กลุ่มที่ 3 เป็นต้นไปทางเดินจะแคบและชันไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กที่จะเดินตามไปด้วย เส้นทางค่อนข้างอันตราย 

ตอนแรกแอดกะว่าจะเดินถึงแค่จุดเขียนสีกลุ่มที่ 2 เพราะว่าไม่มีคนมาด้วย แล้วก็ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินไปไกลกว่านี้เลย แต่แอดดันได้เจอครอบครัวนึงมากันกลุ่มใหญ่ มีเด็กๆมาด้วย พี่เขาบอกให้เดินไปด้วยกันสิ ไหนๆก็มาเกินครึ่งทางแล้ว เราเลยตัดสินใจไปกับพวกเขา ซึ่งคิดผิด....มันไกลมากกก เดินจนขาแข็ง เหงื่อท่วมเลย แต่ที่คิดถูกคือ ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามในจุดอื่นๆ เราใช้เวลาเดินจนถึงกลับไปที่รถก็ประมานชั่วโมงครึ่ง คุ้มซะ!!



เดินเลียบริมผาไปเรื่อยๆ


เห็นรูปปลากับเหยือกน้ำไหม ภาพนี้ชัดมากๆ

ภาพเขียนสีส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาลแดง
ถ้ามาถึงป้ายนี้ก็ใกล้ความเป็นจริงละ ใกล้ถึงปลายทาง
กลุ่มที่ 4 ทางจะแคบและชันมากๆ

นี่คือจุดสุดท้ายของทางเดินระยะยาว เย้

เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มหมดพลัง แอดไม่ได้พกน้ำติดตัวไปด้วยเลย ไม่คิดว่าจะไกลและเหนื่อยขนาดนี้ มาถึงจุดสุดท้ายที่ผาหมอน ก็อย่าพึ่งดีใจ เพราะต้องเดินต่อออกไปอีกประมาน 1 กิโลเมตรได้ เกือบท้อใจ แต่ก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น แนะนำใครจะมาเดินพิชิตผาแต้มต้องพกน้ำติดตัวมาด้วยนะค่ะ แล้วก็ถึงลานจอดรถซะที 

ไปต่อกันที่ เสาเฉลียง ที่อยู่ใกล้ๆผาแต้ม
“เสาเฉลียง” หรือ “เอิร์ธ พิลลาร์” (Earth Pillar) เป็นเสาหินทรายรูปทรงคล้ายดอกเห็ดบาน พบกระจายอยู่ตามลานหินในอุทยานแห่งชาติผาแต้ม โดย เสาเฉลียง เป็นหินทรายยุคจูแรสซิก เกิดจากน้ำและกรวดที่ลมพัดพามากัดเซาะต่อเนื่องเป็นเวลาหลายล้านปี เป็นความงดงามของธรรมชาติที่มหัศจรรย์







ออกเดินทาง แอดอยากไปดูน้ำตกแสงจันทร์ หรือ น้ำตกลงรู มากๆเพราะเคยได้เห็นในภาพและโฆษณาต่างๆ เราเลยเดินทางไปแวะที่นั่นกัน

น้ำตกแสงจันทร์เป็นน้ำตกขนาดเล็กเกิดจากสายน้ำจากลำห้วยท่าล้ง ไหลลอดผ่านหน้าผาที่มีลักษณะเป็นรูขนาดใหญ่ บริเวณโดยรอบของน้ำตกแห่งนี้มีทั้งโขดหินน้อยใหญ่เรียงรายและต้นไม้นานาพันธุ์ 
แต่ว่าตอนที่เราไป น้ำน้อยมากๆเลยไม่ได้เห็นความงดงามของน้ำตกที่ไหลผ่านรู


ถ้าไปตอนช่วงน้ำเยอะ จะได้เจอน้ำตกแบบในภาพ
แต่ตอนที่เราไป......น้ำมีแค่นี้เอง เสียใจ
รูที่น้ำไหลลงมา

เราเลยอยู่ที่นี่ไม่นาน เดินทางไป สามพันโบก ดีกว่า
จากที่นี่เดินทางไปอีกประมาน 1 ชั่วโมง สามพันโบกเป็นกลุ่มหินทรายที่ถูกกระแสน้ำธรรมชาติกัดเซาะผ่านกาลเวลามานานหลายพันปี จนเกิดเป็นร่องหินขนาดใหญ่สูง 3-7 เมตร กว้างเป็นสิบเมตร กลายเป็นโบกงามๆ แปลกตาจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนพื้นผิวของลานหิน กินพื้นที่เลียบริมแม่น้ำโขงทั้งฝั่งไทยและลาว เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย

มัคคุเทศก์น้อยของเรา

ที่สามพันโบกจะมีบริการรถสองแถวพาลงไปส่งที่โบก คันละ 200 บาท สามารถแชร์รถกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้ หรือสามารถนั่งเรือชมวิว เรือจะแวะพาไปชมจุดต่างๆที่สำคัญ แล้วที่นี่ยังมีมัคคุเทศก์น้อยเป็นนักเรียนแถวๆสามพันโบกมาคอยแนะนำข้อมูลต่างๆ โดยเราสามารถจ้างเด็กๆเหล่านี้และให้เงินตอบแทนน้ำใจตามอัธยาศัย เด็กๆจะไม่เรียกเงินเองค่ะ สังเกตว่าเด็กๆจะใส่เสื้อที่เขียนว่ามัคคุเทศก์น้อย

เราจึงตัดสินใจจ้างเด็กน้อยที่เราเห็นนั่งเล่นอยู่คนเดียวพาเราไปเที่ยว (แต่เราจำชื่อน้องเขาไม่ได้ละ) น้องอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 พูดเก่งและจำข้อมูลแม่นมากๆ เขาจะพาเราเดินไปตามจุดต่างๆและแนะนำโบกที่มีรูปร่างแปลกๆให้ดู เช่น โบกมิคกี้เม้าท์ โบกปลาวาฬ โบกลูกเจี๊ยบ เป็นต้น ถ้าเรามาดูเองคงไม่สังเกตขนาดนี้ (ลืมบอกไปคำว่า โบก แปลว่า หลุม นะค่ะ) หรือแม้กระทั่งตำนานต่างๆ เขาก็เล่าให้เราฟัง แล้วยังแนะนำวิธีถ่ายรูปจุดที่พิเศษให้เราด้วย ว่าถ่ายตรงนี้แบบนี้แล้วสวย มันทำให้เราเที่ยวสนุกมากขึ้น 

แนะนำเลยค่ะถ้ามาเที่ยวที่สามพันโบกจ้างมัคคุเทศก์น้อยท้องถิ่นกันค่ะ จะทำให้เราเที่ยวสนุกขึ้นและยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับเด็กๆอีกด้วย




โบกนี้เป็นโบกที่ใหญ่ที่สุด น้องบอกว่าน้ำในนี้ไม่เคยแห้งและไม่เคยลดลงเลย คนที่นี่ถือว่าน้ำในนี้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถล้างหน้า ล้างมือ ดื่มกินได้ แต่ห้ามเอาเท้าลงไปในน้ำอย่างเด็ดขาด น้ำใสมากๆเลยค่ะ
โบกมิคกี้เม้าท์ 
โบกขนมครก
โบกหัวใจ
โบกปลาวาฬ
โบกปลาวาฬ กลับด้านมาดูอีกข้างหนึ่งจะกลายเป็น โบกลูกเจี๊ยบ
ถ่ายจากตรงนี้จะเห็นหินรูปหัวสุนัข เห็นกันไหมเอ่ย....


ถ่ายกับมัคคุเทศก์น้อยของเรา
ภาพนี้มัคคุเทศก์ของเราแนะนำให้ถ่ายแบบนี้ จะต้องมีหลุมของเขาเฉพาะด้วยนะ


เป็นอันจบทริปปีใหม่ สิรินธร-โขงเจียม ของเรา วันรุ่งขึ้นเราก็เก็บของเดินทางกลับชลบุรีกัน แต่ แต่ แต่....เช้านี้อากาศดันเย็นจ้า อยู่มา 3 วันร้อนตับแตก แต่พอจะกลับลมหนาวมาเฉยเลย ^^

อยากเชิญชวนให้ผู้อ่านมาเที่ยวเมืองไทยกันมากๆนะค่ะ เพราะบ้านเราสวยไม่แพ้ชาติใดในโลก มีอะไรให้ค้นหามากมาย เสียเพียงแค่อากาศร้อนเท่านั้น อิอิ ที่อ.สิรินธรและอ.โขงเจียมมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่แอดยังไม่ได้ไป และจังหวัดอุบลราชธานีถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีที่ท่องเที่ยวเยอะมากจังหวัดหนึ่งเลยค่ะ






บทความได้รับความนิยม

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต คันไซที่รัก Ep.1

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต คันไซที่รัก Ep.2

เกาะล้าน..ใกล้แค่นี้ วันเดียวก็เที่ยวได้